คำถามต่างๆ มักเกิดขึ้นเสมอกับการเริ่มต้น...
และการเริ่มปั่นก็เช่นกัน ตั้งแต่เริ่มหันจับจักรยาน
คำถามมากมายก็ฝุดขึ้นมา
คำถามแรกๆ ก็คือ จักรยานมันมีหลายแบบ มันแตกต่างกันยังไง?
ไปดูกันเลย สำหรับมือใหม่ แนะนำให้อ่าน บทความนี้หยิบยืมมาจากพันทิพย์
เป็นการแนะนำที่แบ่งแยก ประเภทจักรยาน ไว้อย่างชัดเจน
เป็นหมวดหมู่ดีทีเดียว ซึ่งมีด้วยกัน 19 ประเภท
1. จักรยานเสือภูเขา (MTB หรือ Mountain bike)
ประเภทหางแข็ง hardtail
hardtail แปลตรงตัวเลยคือ "หางแข็ง"
เสือภูเขาล้อหน้ามีโช้ค ล้อหลังไม่มี เหมาะสำหรับปั่นทางเรียบ ขรุขระ ถนนดิน โคลน
ทางไม่วิบากจนเกินไป หรือ ขึ้นเขาแบบถนนเรียบ เช่น เขาใหญ่ ดอยสุเทพ
ประเภท softtail
softtail รถประเภทนี้ จะมีช๊อคหน้าหรือไม่นั้นแล้วแต่ตัวผู้ปั่นครับ
ซึ่งส่วนใหญ่นั้นก็จะใส่กันทั้งหมด จุดสำคัญนั้นอยู่ด้านหลังรถครับ
จะมีจุดรับแรงกระแทกไว้ แล้วแต่การออกแบบของยี่ห้อนั้นๆ มีทั้งทีเป็นแบบตัวเฟรมรับแรงกระแทกแบบไม่มีช๊อค
จนถึงมีช๊อคหลังสำหรับรับแรงกระแทกแบบฝังติดตั้งมาครับ
"ข้อแตกต่างของ Soft Tail กับ Full Sus นั่นอยู่ที่ระยะการเคลื่อนตัวของเฟรม
และจุดหมุนครับ"
ประเภท full suspension
cross country(xc) สำหรับลุยกับทุกสภาพ
เสือภูเขาที่มีโช้คหน้าและหลัง สำหรับปั่นทุกเส้น ได้ทั้งทางเรียบ
ขรุขระมาก ทางที่อาจมีการกระแทก หรือ
มีการกระโดดไม่สูงมากนัก
Downhill เสือภูเขาตัวจริง ทางเรียบยัน ลงเขา รากไม้ ตามป่าลึก
กระโดดจากที่สูง รองรับการกระแทกได้ดี แตกต่างกับ xc ที่อุปกรณ์เกือบทุกชิ้นจะมีขนาดใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่ามาก ซึ่งแน่นอนหนักมาก
2. จักรยานเสือหมอบ (RB หรือ Road Bike)
สำหรับคนชอบความเร็ว ความแรง ปั่นทางเรียบโดยเฉพาะ ลักษณะจักรยาน
จะทำให้เล็ก ลื่นและเบาที่สุด เท่าที่สมองคนจะคิดได้
เพราะฉะนั้นจักรยานประเภทนี้จะมีราคาสูงมาก
3. รถพับ (Folding Bike)
จักรยานทุกประเภทที่พับได้ ผมจะนับรวมในนี้ทั้งหมด
ไม่ว่าจะพับแปลกแหวกแนวขนาดไหนก็ตาม จักรยานประเภทนี้เหมาะสำหรับ
ผู้ที่มีเนื้อที่จำกัด เช่น ปั่นจักรยานไปทำงานเอาจักรยานพับไว้ใต้โต๊ะ เอาจักรยานพับขึ้นรถไฟฟ้า เอาจักรยานขึ้นรถยนต์หลายคันโดยไม่อยากแขวนไว้นอกตัวรถ
เป็นต้น ความสำคัญของจักรยานพับนอกจาก เบา ปั่นดี จุดพับ
สำคัญมาก รุ่นไหนพับไปนานๆ แล้วยังพับง่าย แข็งแรงไม่คลอน
ราคาจะแพงเพราะการออกแบบจุดพับด้วย
4. จักรยานไฮบริด (Hybrid)
จักรยานไฮบริดเป็นจักรยานระหว่างเสือภูเขาและเสือหมอบคือ
ปั่นทางเรียบดีกว่าเสือภูเขาแต่ไม่เท่าเสือหมอบ ปั่นทางขรุขระดีกว่าเสือหมอบแต่ไม่เท่าภูเขา
แต่จักรยานประเภทนี้จะออกแบบเป็น 3 แนว คือ ไฮบริดทางเรียบ
ไฮบริดค่อนมาทางเสือหมอบ การออกแบบ ยางจะเป็นแบบทางเรียบ ไม่มีโช้คเป็นตะเกียบ ใช้ชุดขับเคลื่อนของเสือหมอบ
ไฮบริดทางขรุขระ ไฮบริดค่อนมาทางเสือภูเขา การออกแบบ
ยางจะเป็นแบบวิบากแต่ไม่ใหญ่ไม่เยอะเท่าเสือภูเขา มีโช้คสำหรับลุยนิดหน่อย
ใช้ชุดขับเคลื่อนของเสือภูเขา
ไฮบริดซิตี้ จักรยานไฮบริดสำหรับคนเมืองโดยเฉพาะ
แฮนด์จะแคบกว่าปกติ(เอาไว้ซิกแซกรถติดในเมือง) ไม่มีโช๊ค
ยางทางเรียบขนาดเล็ก แต่ใช้ชุดขับเคลื่อนของเสือภูเขา
5. ทัวร์ริ่ง (touring)
จักรยานประเภทท่องเที่ยวระยะไกล การออกแบบ
จะให้มีจุดยึดสำหรับใส่ตะแกรง ใส่กระเป๋ามากกว่าประเภทอื่น
ยางไม่ใหญ่ไม่เล็กผิวเรียบ ออกแบบเฟรมระยะเอื้อมให้ปั่นสบาย
บางรุ่นอาจมีจุดเปลี่ยนเกียร์2ที่ ระบบเกียร์จะใช้ของ
เสือภูเขา เพราะไม่ได้ต้องการความเร็วความต่อเนื่องในการเข้าเกียร์
แฮนด์จะเหมือนกับเสือหมอบ
เบรกจะใช้เป็นผีเสื้อหรือวีเบรค
6. มินิ (Mini Bike) และจักรยานเด็ก (Kids Bike)
จักรยานย่อส่วนให้เล็กลง มีประโยชน์คือ จักรยานเบา ส่วนใหญ่จึงเปลี่ยนจานหน้าให้ใหญ่ขึ้น
เปลี่ยนดุมเพื่อความลื่นมากขึ้นเพราะจักรยานล้อเล็กจะมีรอบหมุนล้อถี่เป็นพิเศษ
บางคนปั่นเกาะกลุ่มเสือหมอบก็มีเยอะ
7. ฟิกซ์เกียร์ (Fixed Gear)
จักรยานมหาชนของกลุ่มวัยรุ่น มาแรงช่วงปี 2555 - 2556 จะพบมากในช่วงกลางคืนในกรุงเทพฯ
ลักษณะจักรยานคือ โม่หรือเฟืองโซ่จะไม่สามารถฟรีได้ ล้อหมุน จานปั่นก็หมุนตาม
และเบรคด้วยเท้า หรือจะมีแต่เบรคหน้าเท่านั้น
จักรยาน Fixed Gear มีทั้งหมด 5 ชนิดด้วยกัน
แล้วแต่ว่าผู้ปั่นนั้นจะหลงไหลในการปั่นแบบไหน
ประเภทที่ 1 : คอมพลีท (complete)
Fixed Gear ชนิดนี้เป็นสายปั่น มาแบบครบวงจร ตรงตามชื่อ
เมื่อแกะกล่องมาจะมีครบทุกอย่าง ไม่ต้องเสียเวลาเพิ่มเติมแต่งอะไรอีกมากมาย
เหมาะสำหรับคนที่รักความเรียบง่าย และคนที่เริ่มต่นปั่นจักรยาน Fixed Gear
ประเภทที่ 2 : ทริก (trick)
Fixed Gear ที่มีความแข็งแรงเพราะจะต้องทนกับแรงกระแทกเพราะจะใช้ในการเล่นท่า
วงล้อมีขนาดเล็กเพื่อ
จะได้ใช้วาดลวดลายได้ง่ายขึ้น
ประเภทที่ 3 : วินเทจ (vintage)
Fixed Gear ชนิดนี้จะเป็นการรวมเอา
อุปกรณ์และชิ้นส่วนที่มีความคลาสสิกมาประกอบรวมเป็นจักรยานคันนึง
เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในการเก็บสะสม และหลงไหลในความคลาสสิก
ประเภทที่ 4 : แทร็ก (track)
ชนิดนี้เป็นชนิดที่ใช้ในการแข่งขันจริง
มีสมรรถนะที่ดีในการปั่น วงล้อใหญ่ ความคล่องตัวสูง
ประเภทที่ 5 : มินิฟิกซ์ (mini)
Fixed Gear คันเล็กที่เเหมาะสำหรับคนที่ชอบมิกซ์แอนด์แมทช์
ด้วยตัวเฟรมที่มีขนาดกระทัดลัด พกพาง่าย
และมีสีสันน่ารัก
8. ครุยเซอร์(Cruiser)
จักรยานออกแบบเพื่อให้ปั่นสบายบางรุ่นอาจทำคล้ายมอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์
คือ เน้นตะเกียบหน้า หรือ โช้คหน้ายาวๆ แฮนด์จะถูกยกสูงและกว้าง
เน้นปั่นชิลๆเป็นหลัก
9. บีเอ็มเอ็กซ์ (BMX)
จักรยาน bmx ได้รับความนิยมมากเมื่อประมาณ
20 ปีที่แล้ว โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นก่อนจะมีฟิกเกียร์เข้ามาแทนที่
ลักษณะจักรยาน เฟรม จุดเชื่อม ออกแบบมาให้ทนมือทนเท้ามาก แฮนด์ยกสูง ล้อ 20
นิ้ว
- สาย racing ก็แบบในรูปประกอบ
จานจะใหญ่ ไม่ใส่โรเตอร์
- สาย street & flatlandจักรยานสำหรับเอาไว้เล่นท่าโดยเฉพาะ และมีอุปกรณ์พิเศษเฉพาะ
bmx ประเภทนี้
คือ โรเตอร์(เอาไว้ให้แฮนด์หมุนได้ 360 องศา),
ที่พักเท้าบริเวณดุมล้อขนาดใหญ่
10. เอกเขนก (Recumbent Bike)
จักรยานประเภทนี้จะถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ขี่มีความสะดวกสบายมากที่สุด
คือ ผู้ขี่นั้นแทบจะนอนขี่เลยละครับ
ภาษาชาวบ้านพูดกันเล่นๆ ก็ทำนองว่า "นอนมา" ละครับ
จักรยานประเภทนี้ จะได้เปรียบกว่าจักรยานประเภทอื่นๆ
ทางด้าน ความลู่ลม
เพราะผู้ขี่นั้นแทบจะนอนอยู่แล้วจึงทำให้มีส่วนที่ประทะกับลมน้อยกว่าจักรยานประเภทอื่นครับ
ทางด้านอุปกรณ์นั้นจักรยานประเภทนี้ จะมีจุดติดตั้งอะไหล่ต่างๆ แตกต่างจากจักรยานประเภทอื่นมากครับ
ยกตัวอย่าง
เช่น จานหน้า
ก็จะอยู่หน้าจริง"อย่างนี้ซิถึงเรียกว่าจานหน้าของจริง"
11. ไซโครครอส (Cyclocross)
จักรยานไซโครครอสจะมีลักษณะคล้ายกับจักรยานทัวริ่งแต่ต่างกันที่ยางจะเป็นลักษณะวิบากเอาไว้ปั่นทางเรียบทางดินที่ไม่ขรุขระมาก
12. Time Trial
จักรยานสำหรับทำเวลาการออกแบบจะคล้ายกับเสือหมอบแต่จะแตกต่างกันที่การออกแบบเฟรมโดยออกแบบให้มีแรงเสียดทานกับอากาศให้น้อยที่สุด(aero
dynamic) ล้อหลังจะออกแบบให้ขยับเข้ามาในเฟรม แฮนด์จะมีแอโร่บาร์(aero
bar) สำหรับการหมอบให้คนโดนลมน้อยที่สุด
13. จักรยานนอนคว่ำ (Prone)
จักรยานแบบนอนคว่ำขี่
แต่ไม่เป็นที่นิยมสักเท่าไหร่ เพราะนอนหงายปั่นสะบายกว่าเยอะ
14. จักรยานสองเหรียญ (Penny - farthing)
จักรยานโบราณการออกแบบเหมือนกับเหรียญ 2 เหรียญโดยล้อหน้าจะใหญ่ล้อหลังเล็ก
บันไดสำหรับปั่นจะหมุนตามดุมล้อหน้า ข้อเสียของจักรยานประเภทนี้คือความปลอดภัย
ความสะดวกเวลาจะปั่น เวลาจะจอด
15. จักรยานเรียงแถว (Tandem)
จักรยานสำหรับปั่น 2 คนขึ้นไปในคันเดียว
จะพบเห็นบ่อยตามชายหาดและแหล่งท่องเที่ยว
จากที่ได้ออกทริปมาจักรยานประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็น คู่ชาย - หญิง
เปิดเพลงฟังน่ารักๆ และความเร็ว 25 แบบปั่นสบายๆ
16. พร้อมกัน (Sociable)
จักรยานสำหรับขี่พร้อมกันในแนวนอน
ดูจากรูปแล้วกันนะครับแปลกดี
17. จักรยานสเปคผู้หญิงโดยเฉพาะ (WSD หรือ Woman's
Specific Design)
จักรยานที่ออกแบบสำหรับคุณผู้หญิง สังเกตง่ายๆ
จากเฟรมที่ทำให้ขึ้นลงได้ง่ายและเบาะที่มีขนาดกว้างพิเศษเพราะอุ้มกระดูกเชิงกรานของผู้หญิงจะกว้างกว่าผู้ชาย และองศาของเฟรมครับ
18. จักรยานไฟฟ้า
จักรยานที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วย
ทำให้เวลาที่ขี้เกียจ เมื่อย เหนื่อย ก็ใช้มอเตอร์หมุนล้อไปได้ครับ
ข้อเสียของจักรยานไฟฟ้าคือ มีน้ำหนักมาก
เพราะต้องแบกรับอุปกรณ์ไฟฟ้าเข้ามาทั้ง มอเตอร์ แบตเตอรี่ สายไฟ
19. จักรยานใช้เครื่องยนต์
จักรยานที่ใช้เครื่องยนต์เข้ามาช่วย
ถามว่ามันต่างกับมอเตอร์ไซค์ตรงไหน ในความคิดผมคือมันแทบไม่ต่างกันเลย
แต่อุปกรณ์ทุกอย่างจะเล็กลง มีน้ำหนักเบา ไม่ต้องจดทะเบียน ข้อเสียคือ
มีน้ำหนักมาก
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว มีจักรยานแบบไหนโดนใจกันบ้างรึยัง คิดคงคลายความสงสัยให้กับนักปั่นมือใหม่ได้บ้างนะ
ส่วนจะเลือกแบบไหนก็คงขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละท่าน Enjoy RIDE นะทุกคน
ข้อมูล DD จาก : pantip